เพื่อทำ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจนะ ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งแต่วันเข้าพรรษา เห็นไหม เวลาเข้าพรรษานี่มันคึกคักมาก เวลาคนจะบวชจิตใจอิ่มบุญอิ่มกุศล อิ่มบุญอิ่มกุศลชื่นบานมาก นี้เวลาที่ชื่นบานก็ตั้งความหวัง ตั้งความหวังว่าถ้าเราบวชแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะมีคุณธรรมในหัวใจ เราจะมีความสุขความมั่นคงในใจ
เวลาเราตั้งใจ เห็นไหม เวลาเข้าพรรษาเราอธิษฐานพรรษากัน อธิษฐานพรรษา เห็นไหม แล้วก็อธิษฐานธุดงค์ ใครจะถือธุดงค์มากขึ้น ใครจะถือธุดงค์กี่ข้อ แล้วแต่ว่าเราตั้งสัจจะ ตั้งสัจจะแล้วนี่เราต้องถือสัจจะนั้น ถ้าถือสัจจะนั้นให้เป็นความมั่นคงของหัวใจเรา เวลาตั้งใจไง เวลาตั้งใจเราตั้งใจของเรา แต่เวลาทำไปแล้ว เห็นไหม นี่วันนี้วันอุโบสถอีกแล้ว นี่เข้ามา ๒ อุโบสถ ๑ ปักษ์ ๑ เดือน อีก ๓ เดือนข้างหน้า ใน ๓ เดือน เห็นไหม เข้าพรรษา ๓ เดือน ๙๐ วันนี่ไปแล้ว ๓๐ ถ้า ๓๐ วัน นี่ ๓๐ วันเราวัดผล วัดผลกับการประพฤติปฏิบัติของเรา ความเป็นจริงในหัวใจของเรา จิตใจของเรายังชื่นบานอยู่ไหม จิตใจของเรายังมั่นคงอยู่ไหม จิตใจของเรายังอาจหาญอยู่ไหม
ถ้าอาจหาญอยู่ เห็นไหม เพราะว่ามันเป็นโอกาสไง เวลาเข้าพรรษานี่แช่มชื่นมาก ตั้งสัจจะว่าของเราเราจะประพฤติปฏิบัติ จะให้ได้สมความปรารถนาของเรา สมความปรารถนาของเรานะ หน้าที่ของเราหน้าที่ของพระไง หน้าที่ของพระบวชมาแล้วพยายามค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของเรา เราบวชมาแล้วนี่ทำความสงบของใจให้ได้ ถ้าใจสงบแล้วนี่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ฝึกหัดปัญญาของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะกล่อมเกลาหัวใจของเราให้มั่นคงขึ้นมา ให้หัวใจของเรานี่มันรู้แจ้งขึ้นมา ให้มันมีสัจธรรมขึ้นมา
ต้นไม้ เวลาปลูกต้นไหม เห็นไหม เวลาหน่ออ่อนมันปลูกต้นไม้ขึ้นมา เราดูแลรักษาขึ้นมา เวลามันเติบโตขึ้นมานะ เวลามันให้ดอกให้ผลมันชื่นใจ เวลามันแตกใบอ่อนมันมีความชุ่มชื่น มีแต่ความสวยงามไปทั้งนั้นเลย เวลามันผลัดใบ เวลาใบมันแก่มันต้องทิ้งใบของมันไป เห็นไหม ต้นไม้ในป่ามันผลัดใบของมัน ใบนี้ร่วงหมดเลย นี่ถึงเวลาที่มันผลัดใบของมัน ฤดูกาลของเขา
นี่ก็เหมือนกันในหัวใจของเราไง ในหัวใจของเรา เห็นไหม ถ้าเราทำของเรา ถ้ามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา มันสดชื่น มันแจ่มใส มันมีความอบอุ่น มันมีความสุข เวลาสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางอริยสัจไว้ เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สัจจะความจริง มีทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป
เวลาทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปนะ สัจจะความจริงในโลกนี้ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริงทั้งนั้น แล้วถ้ามันมีความสุขขึ้นมาได้ยังไง มันมีความสุขสิ เวลาคนเรามันทุกข์มันยากขึ้นมา เห็นไหม เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เวลาทุกข์ยากขึ้นมา ความทุกข์ในหัวใจเราประสบมาจนเคยชินกับมัน แต่เวลามันผ่อนคลาย เวลามันสละทิ้ง เวลามีความสุขขึ้นมา เห็นไหม นี่ไง ถ้ามันมีความสุขความสุขมันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ไง
คนเรานะมันอาบเหงื่อต่างน้ำมามันมีแต่ความทุกข์ความยากมา เวลามันเสร็จงานแล้วนี่ มันทำความสะอาดชำระล้างร่างกายแล้วมีความอบอุ่นมีความสุขนะ ความสุขมันสุขเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้ไง นี่ไงเวลามันเกิดขึ้น วิมุตติสุขๆ สุขโดยยั่งยืน สุขโดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงมันเป็นยังไง ที่ว่าวิมุตติสุขๆ วิมุตติสุขมันมาจากไหน ความสุขมันมีอยู่จริงเหรอ วิมุตติสุขมันมาจากไหน วิมุตติสุขจะเกิดขึ้นต่อเมื่อความทุกข์มันหายไปไง ความทุกข์มันสิ้นไปจากหัวใจ นั่นล่ะวิมุตติสุข ความทุกข์มันสิ้นไปจากใจ
แต่ความทุกข์ในปัจจุบันนี้ เห็นไหม ในปัจจุบันนี้ความทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์มันเป็นความจริง ถ้าทุกข์เป็นความจริง เราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา เราฝึกหัดของเรา เห็นไหม นี่หน้าที่การงานของพระ โดยหลักๆ นะ โดยหลักหน้าที่ของพระๆ หน้าที่ของพระค้นคว้าพยายามขวนขวาย พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หน้าที่ของพระไง
เราภูมิใจกันว่าเราเป็นพระป่าๆ พระป่าก็พระป่า เห็นไหม พระป่า นี่พระบ้าน พระบ้านก็ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาขึ้นมานี่นักธรรมเอก ศึกษามาจนจบเปรียญ ๙ ประโยค จบแล้วนี่จบการศึกษา จบการศึกษาก็ฝึกหัด ฝึกหัดขึ้นมาให้มีความชำนาญให้แม่นยำในธรรมวินัยนั้น ถ้าแม่นยำในธรรมวินัยนั้นฝึกหัดการปกครอง ฝึกหัดการปกครอง เห็นไหม ได้เป็นเจ้าอาวาส ได้เป็นเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด นี่ได้เจ้าคณะภาค ได้เจ้าคณะมณฑล
นี่การปกครองๆ นี่พูดถึงวัดบ้านๆ วัดบ้านเขาแม่นยำของเขาในเรื่องธรรมวินัยของเขา แม่นยำในธรรมวินัย จิตใจของคนมันมีดีและชั่ว เวลาดีขึ้นมานี่ แม่นยำนี่ถูกต้องซื่อสัตย์กับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาชั่ว เวลาชั่วขึ้นมาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บังเงาไง บังเงาเพราะกิเลสมันอยู่ข้างหลังไง กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเราไง ก็เอาสิ่งนั้นอยู่ข้างหน้าเอาไว้สั่งสอนคนอื่น แต่หัวใจของตนไม่ได้ทำๆ ถ้ามีใจของธรรมมันก็จะพยายามอยู่ใกล้ชิดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาใกล้ชิดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง มันก็กัดกร่อนในหัวใจนั้น
จิตใจของคนเวลาทุกข์มันบีบคั้นทุกข์มันกัดกร่อนขึ้นมานี่ มันบีบคั้นในใจขึ้นมา มันแสวงหาของมันเพื่อจะพ้นจากทุกข์ๆ แล้วมันจะพ้นได้จริงหรือไม่ ถ้าพ้นได้จริง เห็นไหม นี่ของเรา เห็นไหม เขาศึกษามาแล้ว ศึกษาในภาคปริยัติ ศึกษาแล้วก็เพื่อประพฤติปฏิบัติไง เรามีครูมีอาจารย์ของเราใช่ไหม ฝ่ายคันถธุระกับวิปัสสนาธุระ ถ้าวิปัสสนาธุระครูบาอาจารย์ของ วิปัสสนาธุระคือว่าพระป่าๆ นี่วิปัสสนาธุระ วิปัสสนาธุระคือบวชมาแล้วก็ออกประพฤติปฏิบัติเลย
การศึกษาก็ศึกษามาจากอุปัชฌาย์อาจารย์ อุปัชฌาย์อาจารย์ เห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้าทะลุเข้าไป เกสา นี่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ถ้ามีสติมีปัญญานี่ เห็นไหม ด้วยจิตของเรา ด้วยกำลังของจิตของเรา ด้วยกำลังของใจของเรา ถ้ามันแทงทะลุ นี่ผม ขน เล็บ ฟัน หนังแล้วจบเลย คนเรามันติดก็ติดกันที่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ท่านเทศนาว่าการ เห็นไหม มันเหมือนกับโลงศพ โลงศพเห็นไหม โลงศพเขาวิจิตรพิสดารเขาแกะสวยงามไปหมด ยิ่งคนมีศักยภาพ มีทุนรอนมาก เขาจะทำโลงศพของเขามหาศาลเลย ในโลงศพนั้นก็มีซากศพ ในสัจจะในความจริงของมัน ในร่างกายของเรา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่มันย้อนกลับผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันเป็นโลงศพ แต่หัวใจในผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่มันผ่องแผ้วนั้นไง ถ้าเราทะลุปรุโปร่งเข้าไปนี่ ทะลุปรุโปร่งผม ขน เล็บ ฟัน หนังเข้าไปทะลายโลงศพนั้น วิจิตรพิสดารนั้นน่ะ ข้างในมันเป็นซากศพ
แต่ของเราถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา เวลามันทะลาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเข้าไปแล้วนี่ จิตนี้ผ่องใสๆ มันกลับกันถ้าเราเป็นธรรมๆ มันกลับกันๆ ถ้ามันทะลุได้ เห็นไหม เราเรียนจากอุปัชฌาย์อาจารย์มา ถ้าเราเรียนจากครูบาอาจารย์มา เรามีครูบาอาจารย์มานี่ท่านเน้นย้ำตรงนี้ไง เพื่อทำๆ ถ้ามันเพื่อทำนะ เรามีหน้าที่การงาน หน้าที่การงานเรามหาศาลเลยนะ
สิ่งที่มันข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติมันสังคมของสงฆ์ ดูสิ อาวาส เห็นไหม สิ่งที่อยู่ของผู้ที่ไม่มีบ้านไม่มีเรือนไง ถ้าผู้ที่ไม่มีเรือนบวชแล้วนี่เป็นนักบวช เห็นไหม สละบ้านสละเรือนมาแล้วมาอยู่ในอาวาส ถ้าอยู่ในอาวาสแล้วนี่มันก็เป็นที่ส่วนกลาง ที่ส่วนกลางก็เป็นที่ของสงฆ์ๆ เห็นไหม แล้วสงฆ์ก็ตั้งขึ้นมาเป็นวัดเป็นวาขึ้นมา มารวมกันแล้วเขามีข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาสัปปายะ ๔ สัปปายะ ๔ นี่ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน เห็นไหม เพื่อความอยู่ความสงบความร่มเย็นไง
แล้วถ้ามันมีผู้นำที่ดี ผู้นำที่ดีปกครองดูแลที่ดี เห็นไหม ผู้นำที่ดีปกครองยังไง มันปกครองด้วยความอบอุ่นนะ ถ้ามันผู้นำที่ไม่ดี เห็นไหม ผู้นำที่ไม่ดีเอารัดเอาเปรียบกัน เห็นไหม ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียง ลำเอียงเพราะเขา ลำเอียงเพราะเรา เห็นไหม คนที่ประพฤติปฏิบัติมันหวาดระแวงไปทั้งนั้นนะ การหวาดระแวงเรามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ งานของพระคืองานประพฤติปฏิบัติ งานของเราคือค้นคว้าหาใจของเรา ถ้าเราหวาดระแวงอยู่ภายนอก แล้วข้างในมันจะมีโอกาสได้ทำยังไง
มันหวาดระแวงก็ส่งออก มันระวังภัย ระวังภัยจากภายนอก แต่ไม่ได้ระวังภัยจากภายใน ไม่ได้ระวังภัยจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง แล้วถ้ามันงานของพระๆ ครูบาอาจารย์ที่ดีนะ สิ่งที่เราหวาดระแวงมันจะไม่มีไง ถ้าคนมันไม่ระแวง ไม่วิตกกังวลนี่อบอุ่น เข้าที่ไหนก็ได้ ทำแล้วมันสบายใจนะ จะโคนไม้ที่ไหนก็ได้ ในร่มเงาที่ไหนก็ได้ พอเข้าไปแล้วปฏิบัติ มันปฏิบัติเอาจริงเอาจังเถิด ทำไปแล้วมรรคผลได้ผลขึ้นมา เรามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำอีกต่างหากนะ ถ้ามันหวาดระแวงมันทำอะไรไม่ได้เลย มันส่งออกๆ เห็นไหม เพื่อทำๆ เพื่อทำ เพื่อการกระทำไง
ดูสิ ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมานี่ก็เพื่อทำให้มันเรียบร้อย ทำอะไรในวัดในวา ดูสิ เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาท่านจะออกไปวิเวกท่านจะขึ้นไปกราบหลวงปู่มั่นนะ นี่ข้อวัตรปฏิบัติในวัด สิ่งใดที่มันขาดเหลือ สิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่องมีหรือไม่ ถ้ามีจะทำจะฟื้นฟูจะทำให้มันสมบูรณ์ ถ้าสมบูรณ์แล้วทุกอย่างมันสงบระงับดีแล้ว เกล้ากระผมก็จะขอลาออกไปวิเวกชั่วครั้งชั่วคราว นี่เวลาไปปรึกษาหลวงปู่มั่นไว้ก่อน
ถ้าในวัดในวาถ้ามันมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง เราจะช่วยกันดูแล จะช่วยกันทำให้มันสมบูรณ์ สมบูรณ์สุดแล้วคนอื่นจะได้อยู่สุขสบายไง แล้วเกล้ากระผมจะขอโอกาสเพื่อไปวิเวกหาความสงบระงับข้างนอกสักชั่วครั้งชั่วคราว ก็รอจนกว่าท่านจะอนุญาต พอชั่วคราวปั๊บก็เข้าไปลาท่านอีกทีหนึ่ง ถ้าท่านอนุญาตก็ได้ไปวิเวก
นี่ไง เราทำกันเราทำกันเพราะเหตุนี้ เราทำกันทำเพื่อความสงบ เพื่อความระงับ แล้วเพื่อความสมบูรณ์ของมัน เพื่อความจะหยิบจะใช้จะสอยมันก็จะมีใช่ไหม เสร็จแล้วเราก็เข้าทางจงกรม เราก็เข้านั่งทางสมาธิภาวนาของเรา เวลาไปทำแล้วมันก็ไม่หวาดไม่ระแวงไม่ต้องมาวิตกกังวล มันตัดปลิโพธความกังวลออกไป มันตัดความกังวลของเราออกไป เราจะได้เข้าทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนาด้วยความปลอดโปร่ง ไม่ต้องว่า พอเข้าทางจงกรมเขาทำอะไรกัน เข้าทางจงกรม เอ๊ะ เสียงนั่นเป็นเสียงอะไร นี่มันวิตกกังวลไปทั้งนั้นนะ แต่ถ้ามันสำเร็จแล้ว มันเรียบร้อยระงับแล้วนี่ นี่เพื่อทำๆ เพื่อทำคือเพื่อเดินจงกรม เพื่อนั่งสมาธิภาวนา เพื่อโอกาสของเราไง ไม่ใช่เพื่อโลก ถ้าเพื่อโลกเขา เขาทำไว้ทำไม ทำไว้เพื่อวิจิตรพิสดาร ทำไว้เพื่อให้คนเขาชื่นชมไง
นี่เขาชื่นชมๆ มันจะวิจิตรพิสดารขนาดไหน ถ้าเรามีข้อวัตรปฏิบัตินะ ถ้าวัดกรรมฐาน วัดกรรมฐานเราเข้าไปวัดไปวาแล้วนี่มันต้องวัดไม่ร้าง ถ้าวัดไม่ร้างนะ ความเป็นอยู่ปัจจัยเครื่องอาศัยมันต้องดูแลรักษา การรักษาใครรักษา ก็คนอยู่มันรักษา วัดไม่ร้างไง ถ้าวัดไม่ร้างนี่ นี่ไง ไม่ต้องวิจิตรพิสดารหรอก นี่มีข้อวัตรนะมันเรียบง่าย มันติดดินไง มันติดดินแล้วมันสะดวกด้วย สะดวกในการประพฤติปฏิบัติไง เพื่อธรรม ไม่ใช่เพื่อโลก
ถ้าเพื่อโลก เพื่อโลกเพื่อสงสารมันไปชิงดีชิงเด่นกันไง ชิงดีชิงเด่นก็ชิงกิเลสทั้งนั้น ความชิงดีชิงเด่นชิงกิเลสมาทำไม เรามานี่เราจะมาชำระล้างกิเลส เราจะมาฆ่ากิเลสนะ ถ้าเราจะมาฆ่ากิเลส เห็นไหม นี่เราทำตรงนี้ นี่หน้าที่ของพระๆ หน้าที่ของพระมันคืออะไร หน้าที่ของพระเราบวชมาเราต้องการคุณธรรม เราบวชมาเราต้องการความทะลุปรุโปร่งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้ว เปิดพระไตรปิฎกมาอ่านข้อไหนอ่านวรรคไหนมันเข้าใจ มันเข้าใจ มันแจ่มแจ้ง มันซาบซึ้ง เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วมันซาบซึ้งๆ มันเห็นบุญเห็นคุณทั้งนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนที่มีคุณธรรมในใจแล้วนี่ไม่ระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็เป็นพระสงฆ์ แต่เราเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์มันเป็นจริงเพราะมันญัตติจตุตถกรรม ญัตติจากอุปัชฌาย์ยกขึ้นมาเป็นสงฆ์ พอยกขึ้นมาเป็นสงฆ์แล้วนี่ เห็นไหม พอเป็นสงฆ์โดยสมบูรณ์ นี่อุโบสถจะลงอุโบสถนี่ ถ้าลงอุโบสถแล้วมันไม่เป็นโมฆียะไม่เป็นโมฆะไง เราเสมอกันไง เห็นไหม ดูสิ ที่เราจะลงอุโบสถ จะทำญัตติจตุตถกรรมมันต้องเป็นเรื่องสงฆ์ทั้งนั้น สามเณรนี่เข้ามาไม่ได้เลย แม้แต่พระด้วยกัน ถ้าศีลบกพร่องก็เข้ามาไม่ได้ ถ้าเข้ามามันก็เป็นโมฆียะหมด โมฆียะมันไม่มีสิ่งใด ถ้าเป็นโมฆะจบเลย
นี่ไง เราถึงเป็นสงฆ์ด้วยกันๆ แต่ถ้าเป็นสงฆ์ด้วยกัน หน้าที่ของสงฆ์ สังฆะ เราหาขึ้นมาไง เราแสวงหาขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันเป็นสงฆ์ ถ้าเป็นสงฆ์ๆ ตามความเป็นจริง เห็นไหม ถ้าเป็นสงฆ์ตามความจริงนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม พุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงที่ใจ นี่ดูสิ เวลาเราทำสมาธิขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันไม่สงสัยในพระพุทธเจ้าเลย พุทธะ ดูสิ เราจะอุปัฏฐากพุทธะ ผู้ใดอยากจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด ให้อุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด เราไปดูภิกษุไข้ดูผู้เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เท่ากับอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็เปรียบเทียบ นี่ไงของเทียบเคียงไง
แต่ถ้าเราทำพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันจิตสงบเข้ามา เห็นไหม มันโอ้โฮ มันสงบ มันสงบนะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ๆ นี่มันรู้อยู่ในหัวใจของเรานะ ผู้ตื่นมันตื่นจากความหลับใหล มันตื่นจากความสงสัย มันตื่นจากการลูบคลำ เพราะมันผ่องใสๆ มันผ่องใสหัวใจของเรา นี่ถ้าเพื่อทำ เพื่อทำก็ทำขึ้นมา พอทำขึ้นมามันก็เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เราอยู่อาศัยกันนี้มันเป็นวัฒนธรรมนะ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม ดูสิ เวลาในการท่องเที่ยว เขามาเที่ยววัดเที่ยววาทั้งนั้น เขามาเที่ยววัดเที่ยววา วัดไหนเขาสะอาด วัดไหนเขาสงบ วัดไหนเขารื่นเริง เขาก็ไปเที่ยววัดนั้นกัน
แต่ของเรา เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบอก วัดนี้เป็นวัดประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีธุระจำเป็นไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ถ้ามาก็มาเป็นบุญกุศลเป็นครั้งเป็นคราว ถ้าวัดปฏิบัติ เห็นไหม นี่ไง ถ้าเพื่อทำ เพราะเพื่ออะไรล่ะ เพื่อความสงบสงัด เพื่อความเป็นจริงในหัวใจของเรา ถ้าเพื่อความเป็นจริงในหัวใจของเรา เห็นไหม มีการกระทำอย่างนั้น ทุกคนเขาชื่นชมนะ เขาชื่นชมแล้วมันต้องทำจริงด้วย
ถ้าทำจริงแล้ว เขาบอกอย่าไปที่นั่น พวกญาติโยมเขาเยอะ เขาจะคอยช่วยกันส่งเสริมเอง ถ้าจะไปก็ให้ไปที่เป็นครั้งเป็นคราว ไปเมื่อมันมีความจำเป็น เห็นไหม เพราะเราเกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นคนแล้ว แล้วมีศรัทธามีความเชื่อขึ้นมา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ขึ้นมาเห็นภัยในวัฏสงสารขึ้นมา มาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระเราได้ฉายากันมา เห็นไหม ฉายาบาลีนะ มันเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราทำของเราขึ้นมาไง ถ้าเพื่อทำ เห็นไหม ถ้าเพื่อทำก็เป็นการกระทำ ถ้าเป็นการกระทำด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยความเห็นถูกต้องดีงามขึ้นมา มันก็เป็นสมมุติสงฆ์ด้วยความสมบูรณ์ ถ้าด้วยความสมบูรณ์ขึ้นมา เห็นไหม เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาจากปุถุชนมันจะเป็นกัลยาณปุถุชน
จิตนี้ๆ จิตนี้จิตที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่ ไม่มีใครดูแลรักษามันนี่ ดูสิ มันทุกข์มันยากของมัน เห็นไหม มันทุกข์มันยากของมัน แต่พอเกิดมาแล้วนี่ พ่อแม่ก็ตั้งชื่อให้ ไปอยู่ที่กรมการปกครอง นาย ก นาย ข นาย ง นี่มันทุกข์ยาก นาย ก นาย ข นาย ง นี่ทำหน้าที่การงานแล้วประสบความสำเร็จ นาย ก นาย ข นาย ง ขึ้นมานี่ ทำสิ่งใดมาเป็นประชากรของชาติ แล้วถึงที่สุดแก่เฒ่าชราภาพไป นาย ข นาย ง นี่ตายแล้ว ตายแล้วก็จำหน่ายว่ามรณะ ตาย จำหน่ายจากบัญชีไป เห็นไหม นี่มันก็ผลของวัฏฏะๆ ไง
แล้วจิตเราอยู่ไหน นาย ก นาย ข นาย ง มันอยู่ไหน นาย ก นาย ข นาย ง นี่มันเป็นใคร นาย ก นาย ข นาย ง นี่เห็นไหม มันมีผลทางกฎหมายไง กรมการปกครองเขารับจดทะเบียนแล้ว มีผลทางกฎหมาย ดูสิ คนต่างด้าวๆ เขาไม่มีบัตรประชาชนของเขา เขาไม่มีสิทธิอะไรในเรื่องสุขภาพ ในเรื่องการจุนเจือจากรัฐ ไม่มีเลย คนไม่มีสัญชาติ ไอ้นี้ของเราก็เหมือนกัน เรามีสัญชาติๆ เห็นไหม เรามีสัญชาติ แล้วเราได้บวชเป็นพระ มีทุกอย่างถูกต้องดีงามทั้งหมด ถ้าถูกต้องดีงามทั้งหมดขึ้นมา เราพยายามค้นคว้าหาตัวของเราให้เจอ ถ้าค้นหาหัวใจให้เจอ เห็นไหม เพื่อทำๆ เราบวชมาเพื่อทำ เพื่อประพฤติปฏิบัตินะ
ถ้าเพื่อประพฤติปฏิบัติมันจะมีแนวทางของเราๆ ในทางจงกรม ในการนั่งสมาธิภาวนานี่มันเป็นกิริยาการก้าวเดิน กิริยาในการนั่ง กิริยาในการยืน กิริยาในการเดิน สิ่งที่กระทำๆ นี้ก็ทำเพื่อค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นคว้าหาใจของตน ถ้ามันเจอใจของเราเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา เห็นไหม เราจะมีคุณค่า แล้วถ้ามีคุณค่าขึ้นมา ถ้าคนมีอำนาจวาสนา เห็นไหม เราจะทำต่อเนื่อง เราพยายามจะทำของเรา เราพยายามจะรักษาของเรา ชำนาญในวสีๆ ชำนาญในการรักษา รักษาให้ใจมันตั้งมั่นให้ได้ แล้วฝึกหัดในใจของเรา ใจของเรานี่ให้พยายามค้นคว้าหากาย หาเวทนา หาจิต หาธรรม ทั้งๆ ที่มันอยู่กับเรานี่แหละ
เวลาโดยวิทยาศาสตร์ เราก็คือเราไง ก็สมบูรณ์ในเราแล้วไง ก็มีสัญชาติ มีบัตรทุกอย่างพร้อมไง ก็เป็นเรานี่ไง ก็เราผลของวัฏฏะไง แต่ต้นขั้วของมันล่ะ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะล่ะ ใครไปเห็นมัน ไม่มีใครเคยเห็นไง ไม่มีใครเคยเห็น แต่เราพร่ำเพ้อกันแต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งที่เป็นศาสดานะ ครูเอกของโลก เป็นศาสดาของเราที่เราระลึกถึงๆ ระลึกถึงด้วยคุณงามความดีนะถูกต้อง แต่คำว่าพร่ำเพ้อๆ โดนกิเลสมันบังเงาไง กิเลสมันบังเงา มันก็เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเงา แล้วมันก็ซ่อนอยู่ข้างหลังไง ซ่อนอยู่ข้างหลัง แล้วเราก็จะค้นคว้าหามันๆ มันก็ต้องมีหน้าที่การงานของเราไง เพื่อทำ เพื่อธรรมะ
เราประพฤติปฏิบัติธรรมมีการกระทำนะ เห็นไหม การกระทำทำข้อวัตรปฏิบัติ เราทำของเรานี่ในทางจงกรม ในการนั่งสมาธิภาวนานี้เพื่อมีการกระทำ มีการกระทำเพื่อการกระทำ เพื่อการกระทำมันเป็นกิริยา เพื่อการกระทำ เห็นไหม ความคิดนะมันก็เป็นกิริยาของจิตทั้งนั้นนะ มันจะเป็นกิริยาต่อเมื่อครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติแล้วท่านมีคุณธรรมขึ้นมา ท่านจะรู้จะเห็นของท่าน แต่ของเรานี่ เวลาเราพูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นกิริยา ความคิดมันเกิดดับ เวลามันเกิดดับเราก็คาดการณ์จินตนาการกันไปว่ามันเกิดดับ พร้อมด้วยทุกๆ อย่าง พร้อมทุกอย่าง ทุกอย่างอย่างหนึ่งก็อารมณ์หนึ่ง อย่างหนึ่งก็คิดอย่างหนึ่ง มันเห็นตอนไหน มันเห็นตอนไหน มันเห็นจริงหรือเปล่า มันเห็นไม่จริงเพราะอะไร มันเห็นไม่จริงเพราะว่าจิตมันไม่สงบ
ถ้าจิตมันสงบนี่ที่เราจะค้นหาสติปัฏฐาน ๔ ทั้งๆ ที่มันอยู่กับเรานี่ ทั้งๆ ที่อยู่กับเราแต่มันเป็นเราทั้งหมด สรรพสิ่งนี่เป็นเราทั้งหมด กิเลสก็เป็นเรา เจ็บปวด เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรานะ เพราะเป็นเราก็เลยเดือดร้อน แล้วจิตสงบแล้วๆ เห็นไหม จิตเวลาสงบแล้วไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันเป็นสัจจะเป็นความจริง สัมมาสมาธิ เวลามันเห็นๆ มันเห็น เห็นไหม นี่สัจธรรมมันเห็นใคร มันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ทั้งๆ ที่ผลของวัฏฏะไง เราได้มาเป็นมนุษย์ไง นี่จิตของเรามีการกระทำ เห็นไหม มันจะเป็นความมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนาไง
แล้วพระพุทธศาสนาสอนเรื่องใจๆ เรื่องนามธรรม นามธรรมที่มันเวียนว่ายตายเกิด นามธรรมที่มันไปกำเนิด ๔ นามธรรมที่มันไปเกิดในสถานะต่างๆ นี่ไง แล้วถ้าจิตสงบแล้วนี่ สิ่งที่เป็นนามธรรมนี่มันสงบตัวเข้ามา เห็นไหม เป็นสัจจะๆ สัจจะความจริง เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตใช่ไหม แล้วถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงไง เพื่อทำ แล้วทำให้มันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันจับต้องได้นี่ เห็นไหม จิตแก้จิตนะ
จิตดวงนั้น จิตดวงนั้นเป็นผู้ที่สงบระงับเข้ามา จิตดวงนั้นเป็นผู้เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เห็นไหม เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง แล้วจิตดวงนั้นมีสติปัญญาแยกแยะให้เห็นความจริงนั้น แล้วจิตดวงนั้นมีการกระทำขึ้นมา เห็นไหม นี่จิตดวงใดไม่มีมรรค จิตดวงนั้นก็ไม่มีผล ถ้าจิตดวงนี้มันมีมรรค เพื่อทำ แล้วทำจริง แล้วได้ผลตามความเป็นจริง มันเป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโกกับจิตดวงนั้นไง ถ้ามันเป็นความจริงนะ
แต่ที่เราทำเราทำอยู่นี่ด้วยสัญชาตญาณของเราไง ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ สิ่งที่เป็นเราๆ สรรพสิ่งที่เป็นเรานี่คือสมุทัย คำว่าเราๆ นี่มันป็นสมุทัย เป็นการคาดหมายของเราไป ถ้าเป็นการคาดหมายของเราไปนะ เวลาเราศึกษาแล้วนี่ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ภาคปริยัติ ถ้าภาคปริยัตินะแล้วกิเลสมันบังเงาๆ มันก็ว่ามันเป็น มันรู้ มันเห็นไปหมด ก็มันรู้ ก็มันมีตำรา ก็มันมีการศึกษา แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ เราเป็นจริงของเราขึ้นมาก่อนไง
สิ่งที่มันจะรู้จะเห็นอย่างนั้น ถ้ามันรู้มันเห็นมันเห็นโดยสัญชาตญาณ มันเห็นโดยข้อเท็จจริง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเราไม่เคยรู้เคยเห็น เพราะมันเป็นสัญชาตญาณที่ความคิดมันเป็นอย่างนั้น ถ้าความคิดเป็นอย่างนั้น ใครมีการศึกษาอย่างใด มีจริตนิสัยอย่างใด มุมมองของจิตดวงนั้นมันก็จะมุมมองตามสันดานของจิตดวงนั้น
จิตสงบๆ พอจิตเราสงบเข้ามา ระงับเข้ามา เห็นไหม เวลาเราใช้ปัญญาของเรานี่ จริตนิสัยสันดานของเรามันก็ชอบอย่างนั้น น้อมนำไปอย่างนั้น ถ้าน้อมนำไปอย่างนั้นนะ เราพิจารณาไปแล้วนี่ ถ้ามันไม่สิ้นสุดกระบวนการของมัน มันไม่จบกระบวนการของมัน เราวางไว้ แล้วเรากลับมาทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบมันมีฐานขึ้นมา เราใช้ปัญญาของเราต่อเนื่องไป นี้ปัญญาต่อเนื่องไป ปัญญาแต่ละครั้งแต่ละคราวนี่มันจะไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเพราะโอกาสที่การกระทำมันแตกต่างกัน โอกาสที่การกระทำแตกต่างกันนี่ เพราะจากจิตที่มันมีสมาธิมั่นคงมากน้อยแตกต่างกัน จิตที่ไม่เคยสัมผัส จิตที่ไม่เคยวิปัสสนาขึ้นมา พอวิปัสสนาครั้งแรกมันก็ตื่นเต้น มันก็มหัศจรรย์
แต่ถ้าจิตมันสงบแล้ว จิตสงบมันมากขึ้น ถ้ามันย้อนกลับไปยังจับสติปัฏฐาน ๔ ได้ตาม เป็นจริง พิจารณาต่อเนื่องไปมันจะขยายความ มันจะละเอียดลึกซึ้งเข้าไป นี่ไง การละเอียดลึกซึ้งนั้น ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๑ มันก็แตกต่างกัน ความแตกต่างกันนั้นแตกต่างกันกับกำลังของสมาธิ ๑ แตกต่างกันกับความชำนาญของจิต ๑ แตกต่างกันเพราะจิต เพราะจิตมันมีอำนาจวาสนา จิตที่สร้างสมบุญญาธิการมา ๑
แต่ถ้าคนสร้างอำนาจวาสนามาแค่นี้ วิปัสสนาไปแล้วมันไม่จบสิ้นกระบวนการของมันไป เห็นไหม วิปัสสนาซ้ำไปแล้วมันก็เก้อๆ เขินๆ มันทำไม่ได้ เราก็ต้องหาหนทางหาช่องทางของเราไง นี่ไง ถ้าเพื่อทำๆ ทำให้มันเกิดขึ้น ทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา จากเพื่อการกระทำ เพื่อทำคือการกระทำ กับเพื่อธรรมๆ คือสัจธรรม ถ้าสัจธรรม สัจธรรมมันเป็นความจริงอันนั้น สัจธรรมเป็นความจริงธรรมอันนี้ ธรรมอันนี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เวลากราบธรรมๆ กราบสัจธรรมที่มันมีอยู่ตามความเป็นจริง ถ้ามีอยู่ตามความเป็นจริงมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ อำนาจวาสนาของคน ถ้ามันมีกำลังมากน้อยแค่ไหนมันทำได้ มันจะเข้าไปชำแรกสะสาง เข้าไปคัดง้าง
นี่จริตนิสัย คือความเคยชินของใจ ความเคยชินของใจมันมีสมุทัย สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยากของคนมันแตกต่างกันไปอย่างไง เห็นไหม นี่เพื่อทำๆ ปัญญามันจะตี มันจะถลกหนัง มันจะพลิกแพลง พลิกแพลงจากผิวหนัง พลิกแพลงจะเข้าไปใต้ผิวหนัง พลิกแพลงเข้าไปถึงกระดูก พลิกแพลงเข้าไปถึงไขกระดูก มันพลิกแพลงเข้าไป เห็นไหม มันพลิกแพลง มันจะลึกซึ้งเข้าไปๆ ถ้ามันมีการกระทำๆ เพื่อทำๆ ก็เพื่อโอกาสของเรานะ
การกระทำแบบนี้ ทางโลกในทางอุตสาหกรรม ถ้าเครื่องยนต์กลไกของเขามีสิ่งใดชำรุดเขาก็สั่งอะไหล่เข้ามาซ่อม สั่งอะไหล่เข้ามาเปลี่ยน สั่งอะไหล่เข้ามาบำรุงรักษา ถ้ายิ่งเทคโนโลยีที่สูง เห็นไหม เขาจะจ้างผู้ชำนาญการมาแก้ไขของเขา ในเครื่องยนต์กลไกของเขา แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม สติก็ต้องเป็นสติของเรา จะสั่งสติจากที่ไหนมา นี่ถ้าเป็นสมาธิๆ ของเรา เราต้องหุงหาขึ้นมาเอง อาหารที่เราจะหุงหากิน เราต้องจุดไฟได้ ต้องตั้งไฟเป็น ต้องมีภาชนะ ต้องมีการกระทำ ต้องมีส่วนผสมของมัน มันจะเป็นของมันขึ้นมา
นี่ไง สิ่งที่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาถ้าฝึกหัด ฝึกหัดแล้วฝึกหัดเล่า เพราะถ้ามันล้น มันล้นออกไป เราก็ดึงกลับมา ถ้ามันหย่อนเกินไป หย่อนเกินไปเราก็ฝึกหัดของเรา การแก้ไขๆ เราต้องแก้ไขของเราเอง เราต้องซ่อมบำรุงของเราเอง เราจะต้องปิดกั้นสิ่งที่มันเหลวไหล ปิดกั้นสิ่งที่มันยุแหย่ มันยุแหย่ตะแคงรั่วไง ในการประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่เคยชิน ด้วยความไม่ชำนาญ มันจะล้น มันจะบิดเบือน มันจะอย่างไง แล้วเราล่ะ งงนะ
นี่เวลาพิจารณาไป ถ้ากิเลสกำลังของมันไม่พอ กำลังของมันอ่อนด้อยกว่า เห็นไหม กิเลสมันไม่มีกำลังที่จะต่อต้านนะ ด้วยสมาธิด้วยปัญญาของเรานี่มันทำแล้วมันก้าวหน้า มันพิจารณาแล้ว แหม! มันคล่องตัว แต่ถ้ากิเลสมันบิดเบือนขึ้นไปนะ มันล้มลุกคลุกคลาน เพราะเวลาที่เราประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นความถูกต้องดีงาม เห็นไหม มันจะมีความสุข ความสงบ มีความปลื้มใจมาก แล้วถ้าเราปฏิบัติแล้วนี่ เราเคยได้อย่างนี้เราจะทำซ้ำอีก กิเลสมันรู้ทันแล้ว
ทำเหมือนกัน ทำมากกว่าเดิมด้วย แต่ความสมดุล เห็นไหม ความสมดุลคือมัชฌิมาปฏิปทา ความพอดีของมันมันเบี่ยงเบน ความสมดุลของมันมันไม่ลงตัวมัน เห็นไหม เพราะพิจารณาไปทำไปแล้วนี่ ทำมากกว่าเดิมด้วยเพราะมันเคยได้ มันมั่นใจ พอเคยได้แล้วมันมั่นใจ จะทำให้ได้อย่างนั้น มันไม่ได้ มันทุกข์มันยาก นี่ไง คำว่า เพื่อทำๆ นี่มันต้องมีความชำนาญของมัน มันมีอำนาจวาสนา มีการกระทำของเรา
แต่ไม่พ้นวิสัยของความเป็นมนุษย์ ไม่พ้นวิสัยของผู้ที่มีความเพียร ไม่พ้นนิสัยของผู้ที่มีกำลัง ผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ ต้องมีความละเอียดรอบคอบ ดึงกลับมา มันจะถลำไปอย่างไร มันถลำไปแล้วนี่มันจะมุมานะไปข้างหน้า เราปล่อยมันไป แล้วเรากลับมาพุทโธของเรา เรากลับมาใช้ปัญญาของเรา เรากลับมาเพราะเราเพื่อธรรมะ เพื่อสัจธรรม ไม่ใช่เพื่อทำ เพื่อการกระทำแล้วให้กิเลสสวมเขา แล้วให้กิเลสมันผลักดันไป
ทั้งๆ ที่เราปฏิบัติ เริ่มต้นปฏิบัติเราก็ปฏิบัติด้วยความล้มลุกคลุกคลานอยู่แล้ว ล้มลุกคลุกคลานเพราะเหตุใด เพราะกิเลสของเราไง กิเลสของเรา ความอึดอัดขัดข้องของเรา ความคาดหมายของเรา ความเห็นของเรามันไม่ใช่ทางของธรรมๆ นี่ ความเห็นก็ต้องเป็นธรรมสิ ความเห็นของเราก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ ความเห็นของเราเพราะเราเชื่ออย่างนี้ เราชอบอย่างนี้ เราต้องการอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้ ถ้าทำไป ก็อย่างนี้ก็อย่างกิเลสไง มันไม่ใช่อย่างธรรม
ถ้าเป็นอย่างธรรมๆ เราต้องการอย่างนี้ เราชอบอย่างนี้ เรามีความเห็นอย่างนี้ เราก็ทำไปสิ ทำไปพิสูจน์กัน ต้องพิสูจน์ พิสูจน์กับความรู้ความเห็นของเรา กับพิสูจน์กับสัจจะความจริง มันจะลงเป็นอันเดียวกันหรือไม่ ถ้ามันไม่ลงเป็นอันเดียวกัน ความจริงของเรามันก็ยังไม่เกิดขึ้น
ถ้าเป็นความจริงของเรานะ ความจริง เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ในความเชื่อของเราว่า ๕,๐๐๐ ปี เห็นไหม พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสอีกในอนาคตวงศ์ ภัทรกัปคือ ๕ องค์ คือต่อจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้อริยสัจอันนี้ นี่อนาคตวงศ์ พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๑๐ พระองค์ก็จะมาตรัสรู้อริยสัจอันนี้ ถ้าเพื่อทำๆ สัจธรรมมันเป็นอันเดียวกัน สัจธรรมมันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่องค์ที่ ๔ ถ้าองค์ ๔ นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ องค์ตรัสรู้เหมือนกัน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้างหน้าก็เขาจะมาตรัสรู้ นี่คือสัจจะ
ฉะนั้นเวลาเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีความชอบๆ เรามีความเชื่อ เรามีความพอใจ เราก็ต้องมีความชอบ ความเชื่อ ความพอใจ มันถึงมีการกระทำ ถ้าการกระทำแล้วนี่ เพราะเรากระทำ เราก็กระทำเพื่อธรรมะ เพื่อทำๆ ก็เพื่อการกระทำๆ เพื่อให้เราขวนขวาย เพื่อให้เราพิสูจน์ เพื่อให้เราทดสอบ เพราะเราต้องการความจริง เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ มนุษย์มีศักยภาพ มนุษย์มีบุญกุศล มนุษย์มีปัญญา มนุษย์มีการกระทำ เพราะเราเป็นมนุษย์นี่ มนุษย์เหนือกว่าเทวดา เทวดา อินทร์ พรหม เวลาถึงที่สุดแล้ว เห็นไหม ต้องการบุญกุศล ยังต้องมาตักบาตรพระกัสสปะ พระอินทร์มาตักบาตรพระกัสสปะ พระอินทร์มาตักบาตรกับพระสารีบุตรทั้งนั้น
นี่เพราะเขากระทำมันวิบากของเทวดา วิบากของผู้มีบุญกุศล เขาเป็นวิบากของเขา คือภพชาติของเขา โอกาสของเขา เขาต้องสิ้นชีวิตทั้งนั้นน่ะ มีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามีการเกิดที่ไหนต้องมีการดับที่นั่น ที่ไหนมีการเกิดที่นั่นต้องมีการดับ ถ้ามันเกิดอย่างนั้นแล้วนี่ เกิดอย่างนั้นสถานะของเขาอย่างนั้น มันมีแต่วันสิ้นอายุขัยไปเท่านั้น ฉะนั้นเขาจะเพิ่มของเขา เขาถึงต้องมีการกระทำของเขา
แล้วเราเป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ เรามีศักยภาพ นี่เราเป็นนักบวช เราเป็นพระ เห็นไหม ก่อนเข้าพรรษามันก็ชื่นบานทั้งนั้น อยากจะมีคุณธรรม อยากจะมีสติมีปัญญา นี่ ๑ เดือน อีก ๒ เดือนข้างหน้า ยังมีเวลาอีก ๒ เดือนข้างหน้า เห็นไหม เราค้นคว้าของเรา อย่าไปจำนนๆ อย่าไปหงอยเหงา ให้ชื่นบานขึ้นมา ทางจงกรมมันมี ฝนตกแดดออกเรื่องของเขา ถ้ามีโอกาสแล้วเราทำของเราแต่มันเบื่อ มันเบื่อเพราะอะไร เบื่อเพราะมันไม่มีแรงดึงดูดไง มันเบื่อเพราะจิตมันไม่ได้สัมผัสรสของธรรมไง รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง มีรสชาติอะไรบ้างในโลกนี้ที่จะมาเทียบเคียง มันจะมีรสชาติอะไรในโลกนี้ที่จิตมันสงบ มันจะมีรสชาติอะไรนี้
พระพุทธเจ้ายืนยัน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดไง รสชาติอะไร ในโลกนี้มันมีอะไรที่มันจะมีรสชาติเท่ากับจิตของเราที่มันสงบระงับที่ได้ดื่มธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สัมผัสธรรมๆ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันได้สัมผัสอย่างนั้นมันแลกมาด้วยอะไร หลวงตาท่านบอก ท่านแลกมา ท่านเดินจนฝ่าเท้านะ มันเลือดจะออก ฝ่าเท้ามันจะถึงเลือดถึงเนื้อแดงเลย
นี่เวลาเขาเดินจงกรมกันน่ะ แลกมาด้วยฝ่าเท้า ด้วยเลือดซิบๆ แลกมาๆ การแลกมาอย่างนี้ มันแลกมาด้วยความพอใจ แลกมาด้วยความภูมิใจไง มันไม่มีใครบังคับ ดูสิ เขาต้องโทษ เขาต้องคดี เห็นไหม เขาต้องโดนบังคับด้วยกฎหมาย ไอ้ของเรานี่เพราะความศรัทธา ความเชื่อของเรา เรามีศรัทธามีความเชื่อของเราใครบังคับ ไม่มีใครบังคับแต่มันรื่นเริงอาจหาญเพื่อการกระทำ เพื่อความสุขความสงบความระงับอันนั้น
เราค้นคว้าอย่างนั้นให้จิตมันสงบระงับเข้ามา ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามาเพื่อทำ เพื่อทำก็เพื่อการกระทำ ถ้ามีการกระทำ เห็นไหม มันมีเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ เรามีเหตุกระทำของเรา เห็นไหม หน้าที่นี่เราจะบอกว่าหน้าที่นะ หน้าที่ของเรา เห็นไหม พระ พระมีสัปปายะ ๔ มีความเสมอกัน มันมีความเสมอกันเพราะเราบวชด้วยความศรัทธา ด้วยความเชื่อของเรา ด้วยการกระทำของเรา เห็นไหม แล้วด้วยครูบาอาจารย์ก็ต้องมีเหตุมีผล มีเหตุมีผลคือว่าฟังแล้ว ฟังแล้วหรือการกระทำนั้นมันมีเหตุมีผลที่พิสูจน์ได้ มันต้องพิสูจน์
แต่นี้พอพิสูจน์แล้วนี่มันเป็นวัฒนธรรม เป็นสังคมของกรรมฐาน เพื่อทำๆ ครูบาอาจารย์ท่านสงวนรักษาไว้ให้เรามีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติไง มีโอกาสประพฤติปฏิบัติแล้วนี่ ตอนนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วแหละ มันหน้าที่ของเราแล้วแหละว่าเราจะเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราหรือไม่ ถ้าไว้ในอำนาจของเราได้ก็คือสติไง สติระลึก ถ้าพุทโธๆ นี่ พุทโธเป็นคำบริกรรม ถ้าคำบริกรรมชัดๆ นี่จิตมันแจ่มใสกับพุทโธ ถ้าจิตมันแจ่มใสกับพุทโธนี่มันไม่คิดเรื่องอื่นไง
แต่ที่เราบอกเราก็ระลึกพุทโธอยู่ แต่พุทโธที่ปาก พุทโธที่ผิวเผิน มันยังดิ้นได้ คือมันดิ้นได้ เห็นไหม ดูสิ ลอบไซที่เขาดักปลา ถ้ามันปะชุนไม่ดี เห็นไหม ปลามันเข้ามาในลอบไซของเรา แต่มันมีรูให้ออกได้มันก็ไปของมัน ไอ้นี้ก็พุทโธๆ นะ นี่ลอบไซของเรามันไม่ชัด สติเราไม่มั่นคงไง สติเราไม่รอบคอบ พุทโธก็สักแต่ว่า เหมือนลอบเหมือนไซของเรานี่รูพรุนไปหมดเลย ปลามันเข้ามามันก็ออกหมด แต่ถ้าลอบไซเรามั่นคง ลอบไซของเราละเอียดรอบคอบ เห็นไหม ปลาเข้ามามันจะไปไหน ปลาเข้ามาในลอบในไซมันก็อยู่ในลอบในไซนั่นแหละ
นี่ก็เหมือนกัน ระลึกพุทโธๆ คำว่าระลึกพุทโธนี่ เขาต้องการกล่อมจิตไว้ให้มันอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ใจของเราอยู่กับพุทธะ ระลึกพุทโธนี่ หายใจก็นึกพุท หายใจออกนึกโธนี่ แต่พวกเรามันตึงเครียด พวกเรามันอื้อ... มันจืดชืด มันมีแต่ความทุกข์ยาก มันบังคับตัวเอง มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นี่คิดแบบพาล
คิดแบบบัณฑิต ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลนะ เวลามีใครไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าใครเป็นคนสอน ใครเป็นคนบอก เราตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วเหตุผลล่ะ เหตุผลเราทำของเรามาๆ อานาปานสติ เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ แล้วเวลาสอน เห็นไหม สอนปัญจวัคคีย์ ปัจจวัคคีย์ได้เป็นพระอรหันต์ สอนยสะอีก ๕๔ องค์ได้เป็นพระอรหันต์ สอนชฎิล ๓ พี่น้อง ๑,๐๐๐ องค์ หมด เป็นพระอรหันต์หมดเลย
ถ้ามันไม่มีเหตุมีผลเป็นมาได้อย่างไง ถ้าเรามีเหตุมีผลของเรานี่ เห็นไหม เราค้นคว้าสิ เรากระทำ ว่าพุทโธๆ พุทโธนี่มันต้องการหาพลังงานหาทุน จะทำสิ่งใดมันต้องมีทุนมีรอนถึงทำได้ทั้งนั้น มีทุนรอนแล้วมันต้องมีสติปัญญา เพื่อทำกิจการนั้นให้สำเร็จลุล่วง นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆ นี่เพื่อต้องการหาใจของเราเป็นทุนเป็นรอน สัมมาสมาธิแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาด้วยการฝึกหัดใช้ปัญญานั้น นั่นนะการมีทุนแล้วเราก็ทำกิจการของเราให้มันสมขึ้นไป เห็นไหม นี่การกระทำอย่างนั้นเรียกมรรค ๘ ถ้ามรรค ๘ เป็นมรรคโค มรรคโคเป็นทางอันเอก ทางของจิต จิตที่มันก้าวเดิน แล้วไม่สงสัยเลย
ตอนนี้สงสัย สงสัยเพราะว่าเราฟังเอา เราจินตนาการเอา เราศึกษาเอาก็สงสัย สงสัยเพราะว่าจิตใต้สำนึกมันสงสัย แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปนี่ เวลามันรอบคอบ วิปัสสนา เห็นไหม มันถอนจากจิตใต้สำนึกเลย มันถอนหมด ถ้ามันไม่ถอนหมดมันเกิดความสงสัย คนเรานะถ้ายังสงสัยยังลังเลอยู่ เห็นไหม นั่นล่ะกิเลสอันละเอียด มันสงสัย มันไม่แน่ใจๆ มันไม่แน่ใจ แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ทะลุปรุโปร่ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ชำระล้างทั้งหมด นั่นน่ะเป็นประโยชน์ของเรา
นี่พูดถึงว่าเพื่อทำ ก็เพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อทำก็เพื่อชีวิตนี้ เพื่อจิตนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เป็นฆราวาสก็ต้องตาย เป็นมนุษย์ก็ต้องตาย เป็นพระก็ต้องตาย แต่หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านตาย กิเลสตายก่อนท่าน ท่านบอกว่าท่านอดอาหาร ท่านพยายามรื้อค้นเวลากิเลสมันบีบคั้นขึ้นมา เห็นไหม ตายนะๆ สุดท้ายท่านบอกว่าท่านมีความเข้มแข็ง ท่านมีความมั่นคงของท่าน กิเลสตาย กิเลสตายหมด กิเลสอย่างนั้นตายหมด พอกิเลสตายไปแล้ว แต่ท่านก็ต้องนิพพานไป
ในพระไตรปิฎกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันอาหารของนางสุชาดาถึงซึ่งกิเลสนิพพาน ฉันอาหารของนายจุนทะมื้อสุดท้ายถึงซึ่งขันธนิพพาน ขันธ์คือธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี่ไง ถึงซึ่งขันธนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ กับพระอรหันต์ที่สิ้นชีวิต เห็นไหม นี่เวลาเกิด เกิดมาเป็นคนกิเลสเต็มหัวใจ เวลาเกิดเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม นั่นนะชำระล้างกิเลส หายสงสัยทั้งหมดเลย ฉะนั้นเวลาจะเป็นจะตายถึงไม่มีอะไรเป็นไม่มีอะไรตาย จบสิ้นกระบวนการของธรรมชาติ เอวัง